วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลังคา

0 ความคิดเห็น

รูปทรงหลังคาแบบทั่วไปใช้กันอยู่ 5 รูปทรง คือ

  1. หลังคา SLAB หรือหลังคาแบน เหมือนดาดฟ้าสามารถใช้ประโยชน์บนหลังคาได้
  2. หลังคาเพิงหมาแหงน คือ หลังคาที่เอียงไปด้าน เดียว ราคาถูก และก่อสร้างง่าย
  3. หลังคาทรงมนิลา หรือหลังคาหน้าจั่ว คือ หลังคา ที่มีสันตรงกลาง และลาดลงทั้ง 2 ข้าง
  4. หลังคาทรงปั้นหยา เป็นหลังคาที่กันแดดกันฝน ได้ทุกด้าน แต่ราคาค่อนข้างแพง
  5. หลังคาปีกผีเสื้อ ปัจจุบันไม่นิยมกันแล้ว เพราะ จะเอียงกลับเข้ามาตรงกลาง ซึ่งเป็นรางน้ำทำให้รั่วง่าย

วัสดุมุงหลังคา

หลังคาทำด้วยวัสดุหลายแบบ ที่นิยมใช้กัน เช่น สังกะสี

ต้นไม้

0 ความคิดเห็น
"ต้นไม้" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ต้นไม้ (แก้ความกำกวม)

ต้นซากุระ
ในวิชาพฤกษศาสตร์ ไม้ต้น คือ พืชนานปีซึ่งมีลำต้นยาว กิ่งและใบในสปีชีส์ส่วนใหญ่ บางครั้ง นิยามคำว่าไม้ต้นอาจแคบลง โดยรวมเฉพาะพืชไม้ (woody plant) เท่านั้น คือ พืชที่ใช้เป็นไม้หรือที่มีความสูงกว่าที่กำหนด ในความหมายกว้างที่สุด ไม้ต้นรวมปาล์ม เฟิร์นต้น กล้วยและไผ่
ไม้ต้นมักมีอายุยืน[1] บางต้นอยู่ได้หลายพันปี ต้นที่สูงที่สุดบนโลกมีความสูง 115.6 เมตร และมีความสูงได้มากที่สุดตามทฤษฎี 130 เมตร[2] ไม้ต้นอุบัติขึ้นบนโลกเป็นเวลาราว 370 ล้านปีแล้ว ไม้ต้นมิใช่กลุ่มทางอนุกรมวิธาน แต่เป็นกลุ่มพืชไม่เกี่ยวข้องกันที่วิวัฒนาลำต้นและกิ่งไม้เพื่อให้สูงเหนือพืชอื่นและใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ให้ได้มากที่สุด

ถังดับเพลิง

0 ความคิดเห็น
 อุบัติเหตหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดขึ้นทั้งนั้น  อุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินบางครั้งอาจจะมีสิ่งที่เป็นตัวสร้างความเสียหาย  ทั้งทรัพย์สินหรือบุคคลอย่างรุนแรง นั่นก็คือ  การเกิดเหตุอัคคีภัยหรือเพลิงไหม้นั่นเอง  ซึ่งเราก็มีวิธีที่จะรับมือกับเหตุเพลิงไหม้พวกนี้เช่นกัน
         อุปกรณ์ที่พูดได้ว่าสำคัญที่สุดในการระงับเหตุเพลิงไหม้เบื้องต้นนั้นก็คือ อุปกรณ์ดับเพลิง ที่พวกเรามักจะเรียกติดปากว่า “ถังดับเพลิง” แต่ถ้าจะพูดให้ติดตลกหน่อยก็จะเป็น “หม้อดับเพลิง” เป็นต้น  ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าถังดับเพลิงกันก่อนว่า  ทำไมถึงเป็นเครื่องมือที่สามารถดับเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพและดีเยี่ยม
          ถังดับเพลิงนั้น  ความจริงแล้วมีมากหลากหลายประเภท  โดยส่วนใหญ่แล้วจะแบ่งตามแต่ลักษณะของเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น  ซึ่งตามหลักสากลนั้นจะแบ่งประเภทของเพลิงไหม้/ไฟออกเป็นทั้งหมด 4 ประเภท ดังต่อไปนี้


         A   --->  เป็นไฟที่เกิดจากของแข็ง เช่น ไม้ กระดาษ ผ้า เป็นต้น
         B  --->   เป็นไฟที่เกิดจากของเหลวติดไฟ เช่น น้ำมัน ก๊าซ เป็นต้น
         C  --->   เป็นไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ไฟไหม้หม้อแปลน เป็นต้น
         D  --->   เป็นไฟที่เกิดจากโลหะติดไฟ เช่น สารแมกนีเซียม เป็นต้น

ประเภทของเพลิงไหม้

          ถังดับเพลิงที่เราจะนำมาให้ทุกคนรู้จักกันในวันนี้ คือ “ถังดับเพลิงที่เป็นแบบผงเคมีแห้ง” และ “ถังดับเพลิงผงเคมีแห้ง” ถังดับเพลิงทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่สามารถจะดับเพลิงได้ด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภทเชื้อเพลิง  นั่นก็คือ Class A  Class B และ Class C โดยประสิทธิภาพในการดับเพลิงนั้นจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเรียกว่า “Fire  rating” โดยประกาศของกฎกระทรวงตามพระราชกิจจานุเบกา เรื่อง “สถาที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิง ประกาศ ณ วันที่ 30 มกราคม 2551” โดยมีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับเจ้าประสิทธิภาพในการดับเพลิงดังนี้

          “สถานที่มีการเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดจะต้องจัดให้มีเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งขนาดบรรจุไม่น้อยกว่า 6.80 กิโลกัรม  พร้อมกับมีความสามารถในการดับเพลิงไม่น้อยกว่า 3A 40B  ตามมาตรฐานระบบป้องกันอัคคีภัยของวิศวกรรมสถาน”
คำถามที่เกิดขึ้น ?เราจะรู้ได้อย่างไรว่าถังดับเพลิงที่มีอยู่นั้นมีประสิทธิภาพในการดับเพลิงสูง

          การดู Fire  rating  ของถังดับเพลิงส่วนใหญ่จะติดอยู่ที่ตัวถังดับเพลิง  ขึ้นอยู่แต่ละบริษัทว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดถังดับเพลิงทุกถัง  ทุกแบบจะมีแรงดันในการใช้งานของถังตามแต่ประเภทของการดับเพลิง  โดยถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งนั้น  จะมีแรงดันใช้งานอยู่ที่ 195 psi โดยให้สังเกตที่เกจ์วัดความดัน  ซึ่งตามมาตรฐานถังทุกใบที่มีการใช้งานที่มีแรงดันนั้น  ตัวถังทุกใบจะต้องผ่านการทดสอบถังตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 332-1994  เราพูดถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์มาก็มากแล้ว  ก็จะขอกล่าวถึงเรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือวิธีการใช้งาน  โดยมีหลักการใช้ง่ายๆ อยู่ 4 ขั้นตอนคือ
          1.  ดึง = ดึงสลักออก
          2.  ปลด = ปลดสายฉีด
          3.  กด = กดเพื่อทดสอบ/ใช้งาน
          4.  ส่าย = ส่ายข้อมือ


         สิ่งสำคัญที่สุดในการเข้าดับเพลิงด้วยถังดับเพลิงผงเคมีแห้งนั้น  ต้องเข้าดับเพลิงเหนือลมทุกครั้ง  เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ดับเพลิงขั้นต้นที่เราเรียกว่า “ถังดับเพลิงผงเคมีแห้ง” ถ้าเรามีอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง  เชื่อมั่นได้เลยครับว่าความสูญเสียจากอัคคีภัยจะถูกขจัดได้อย่างง่ายดายแน่นอน

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

1. ความเป็นมา.

0 ความคิดเห็น

ความเป็นมา.



ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่เมืองแปดริ้ว หรือ จ.ฉะเชิงเทรา มีเศรษฐี ๒ พ่อลูก ซึ่งเป็นชาวตลาดบ้านใหม่ล่าง คือ หลงจู๊ฮี้ (พ่อ) กับ หลงจู๊แดง (ลูก) มีใจศรัทธาต่อ หลวงพ่อโต ที่วัดพนัญเชิง อยุธยา มาก เวลานั้นเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากในหมู่ชาวจีนในเมืองไทย นิยมไปกราบไหว้บูชา หลวงพ่อโต หรือ ซำปอกง ที่อยุธยา เพราะถือว่ามงคลยิ่งนัก พระพุทธรูปโบราณองค์นี้ ประชาชนชาวไทย และชาวจีน เคารพนับถือกันมาก เชื่อว่าสามารถนำโชคดีมาสู่ตนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนค้าขาย หากบูชาดีๆ ตั้งใจอธิษฐานอย่างแน่วแน่ ย่อมประสบผลสำเร็จ กิจการรุ่งเรือง ใหญ่โต เหมือนองค์ท่าน

                ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ (ร.ศ.๑๒๕) หลงจู๊ฮี้ และหลงจู๊แดง (ซึ่งเวลาต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนพิพิธพานิชกรรม”) ได้ช่วยกันสละทรัพย์สร้าง พระซำปอกง ขึ้นไว้กราบไหว้บูชา โดยให้ช่างปั้นไปจำลองมาจากวัด
พนัญเชิง อยุธยา  ขณะเดียวกันหลงจู๊แดง หรือ ขุนพิพิธพานิชกรรม ได้สละที่ดิน ต.บ้านใหม่ อ.เมือง สร้างวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขึ้น
                คนเก่าแก่เล่าว่า พระซำปอกง เป็น พระพุทธรูปปูนปั้น ข้างในองค์พระเป็นโพง โดยใช้กระบุง หรือ ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่เอามาก่อซ้อนกันเป็นรูปองค์พระแล้วจึงค่อยเอาปูนฉาบ แล้วจึงลงรักปิดทองภายหลัง พระซำปอกงที่สร้างนั้นมีขนาดหน้าตักกว้าง ๖.๕๐ เมตร สูงประมาณ ๑๒ เมตร
                ในปีต่อมา ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมายังวิหาร อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปด้วย ทรงมีพระราชศรัทธาบริจาคเงิน ๒๐๐ บาท พระราชทานสมทบในการสร้างอาราม และปฏิสังขรณ์พระพุทธรูป (ซำปอกงแปดริ้ว) กับได้พระราชทานนามวัดนี้ว่า “วัดอุภัยภาติการาม” ส่วนพระพุทธรูปทรงทราบว่าไปจำลองมาจากอยุธยา ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) พระราชทานพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” เช่นเดียวกับ ซำปอกงที่อยุธยา และฝั่งธนบุรี(วัดกัลญาณมิตร)
                สาเหตุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ พระราชทานนามวัดนี้ว่า “อุภัยภาติการาม” ก็เนื่องจากทราบว่า วัดนี้ประสบความเสียหารจากน้ำท่วมอยู่บ่อยๆ และบางปีพระพุทธรูป (ซำปอกง) ดูดน้ำซึมเข้าองค์พระ ทำให้ทองที่ปิดเสียหายอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณฐาน และตอนล่างขององค์พระ จะพบว่าทองที่ปิดไว้ เริ่มลอก และหลุดออกเป็นแห่งๆ ต้องทำการซ่อมแซมอยู่เสมอ  (หากจะทำการบูรณะซ่อมแซมปิดทองทั้งองค์พระ จะต้องใช้งบประมาณถึง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท)
                ในปีต่อมา ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๑) หลงจู๊ฮี้ และหลงจู๊แดง ผู้สร้าง พระซำปอกงแปดริ้ว จัดงานสมโภชฉลอง พระพุทธรูป พระไตรรัตนนายก (นามพระราชทาน) เป็นการฉลองที่ได้รับพระราชทานนาม “วัด” และ “พระ” ขณะเดียวกัน ทรงมีพระราชศรัทธาบริจาคเงิน ๒๐๐ บาท พระราชทานสมทบในการสร้างอาราม และปฏิสังขรณ์พระพุทธรูป
                งานสมโภชฉลอง “พระพุทธไตรรัตนนายก” กำหนดการวันที่ ๘ เมษายน ร.ศ. ๑๒๗ ตรงกับ วันพุธขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก ไปจนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน ปีเดียวกัน รวม ๕ วัน การสมโภชมีการแสดง งิ้ว และลิเก การละเล่นต่างๆ พร้อมกับได้กำหนดลงไปว่า ตั้งแต่ปีนี้ต่อไปทุกๆ ปีถึงกำหนดวันเดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำ ให้เป็นวันกำหนดปิดทอง พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ พระซำปอกง เพิ่มเติมทุกๆ ปี พร้อมกับชักชวนประชาชนทั้งหลายให้มาทำบุญปิดทองพระ

2. ศาสนพิธี

0 ความคิดเห็น

ศาสนพิธี

          ศาสนพิธีที่สัมพันธ์กับสังคมไทย
ศาสนพิธี คือ พิธีกรรมทางศาสนาของชาวชนชาตินั้น ๆ ที่ได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมาจนเป็นประเพณี ที่มีพระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้องตลอดพิธี เพราะสิ่งที่สำคัญที่ชาวชนชาตินั้นๆ โดยเฉพาะพุทธศาสนาพระสงฆ์จะเข้าเป็นหนึ่งในพิธีกรรมเสมอไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืออวมงคล โดยเฉพาะงานอวมงคลนี้จะนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อเป็นสื่อในการเชื่อมโยงระหว่างวิญญาณกับโลกมนุษย์นั่นเอง และถือเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนให้มั่นคงเพื่อก่อสร้างบุญกุศลต่อดวงวิญญาณที่อุทิศให้ต่อไป        
งานมงคล คือ งานพิธีกรรมที่นิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น งานตรุษจีน งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น
งานอวมงคล คือ งานพิธีกรรมที่นิมนต์พระมาสวดพระพุทธมนต์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณที่ตั้งใจอุทิศให้นั้นเอง เช่น เทศกาลเช็งเม้ง พิธีเซ่นข้าว เป็นต้น    ในที่นี้จะขอกล่าวถึง งานที่เป็นมงคลก่อน คือ งานตรุษจีน การขึ้นบ้านใหม่                              
      งานตรุษจีน        
งานตรุษจีน หรือเรียกกันว่า ประเพณีตรุษจีน (ขึ้นปีใหม่) นั้นถือได้ว่ามีอิทธิพล อย่างมากกับชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นชาวพื้นบ้าน พระสงฆ์ หรือเจ้าขุนมูลนายที่มีเชื้อสายชาวจีน วันนี้จะถือเป็นวันสำคัญยิ่ง ตามลัทธิประเพณีของชาวจีนแต่เก่าก่อนว่า ถึงวันนี้แล้วจะไม่มีการค้าขายใดๆ ทั้งสิ้น หยุดจากการทำงานหนักตลอดทั้งปี แล้วพักผ่อนให้เต็มที่ คนที่พลัดบ้านมาทำงานยังต่างประเทศ ก็กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ส่วนคนที่ตั้งรกรากปักฐานอยู่ที่ประเทศไทยแล้วก็จำจะปิดร้าน ไปพักผ่อนกันตามจังหวัดต่าง ๆ หรือไปหาญาติที่ต่างจังหวัดกันทั้งครอบครัว และก่อนจะถึงวันตรุษจีน จริง ๆ นั้นทุกคนจะมาทำความสะอาดบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านของตนเอง ตามความเชื่อว่า จะเป็นการส่งเทพเจ้ามาที่คุ้มครองครอบครัวของตนอยู่และเพื่อรับพรในวันปีใหม่จีน ให้เงินทองไหลมาเทมาด้วย สิ่งที่สำคัญเห็นกันเป็นธรรมเนียมคือเวลาใครมาเยี่ยมเยือนก็จะมีอังเปา (เงินใส่ซอง) ให้เป็นขวัญถุง และเป็นสิริมงคลแก่ตน เป็นการบริจาคทานด้วย นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ย่านเยาวราชในเมืองไทย ถ้าจะกล่าวถึงตรุษแท้ ๆ มีอยู่ ๔ วัน
           วันที่ ๑ เป็นวันส่งเจ้า คนจีนถือว่า ทุกครอบครัวจะมีเจ้าคอยคุ้มครองรักษาอยู่ พอวันที่หนึ่งของปีใหม่ทุกปี เจ้าประจำครอบครัวจะต้องขึ้นไปสวรรค์ เพื่อเฝ้าพระอิศวร นำความดีความชอบของครอบครัวนั้น ๆ ไปกราบทูลให้ทรงทราบ ๖ วัน
           วันที่ ๒ เป็นวันจ่าย คนจีนจะไปซื้อของที่จำเป็นในการไหว้ เช่น กระดาษเงิน กระดาษทอง ขนม เป็ด ไก่ หมู ผลไม้และดอกไม้ธูปเทียน ผลไม้ส่วนมากมักเป็นพวกส้มจีน เพราะชาวจีนถือว่าส้มเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคล
           วันที่ ๓ เป็นวันไหว้ จะเป็นวันที่ทำพิธีไหว้เจ้า ส่วนมากไปไหว้กันที่ศาลเจ้า ส่วนการไหว้ตามบ้านเรือนหรือหน้าร้านนั้นเป็นการไหว้ผีไม่มีญาติ เจ้าก็มีอยู่สองประเภท คือ เจ้าประจำบ้าน และ เจ้าประจำศาล ส่วนเจ้าประจำศาลยังมีอีก ๒ ประเภท คือ เจ้าที่มาจากสวรรค์ และเจ้าที่เกิดจากวิญญาณของคนสำคัญ ๆ ในท้องถิ่นนั้น ๆ ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เรื่องการจัดประทัดนั้น ตามประเพณีเดิม จุดเพื่อไล่ผีที่จะมาทำร้าย แต่ภายหลังความนิยมเลยกลับกัน คือ ใช้จุดประทัดเพื่อเป็นเกียรติ เช่น การต้อนรับคนสำคัญ ๆ เพื่อส่งเทพเจ้าสู่สวรรค์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
           วันที่ ๔ เป็นวันถือ เป็นวันถือเคล็ดเกี่ยวกับโชคลาง เช่น
๑.ถือไม่พูดคำหยาบตลอดวันนั้น เพราะถือว่าถ้าใครพูดคำหยาบในวันถือแล้ว จะ    ถูกคนดูหมิ่นตลอดทั้งปี
๒.ถือไม่กินน้ำข้าว เพราะถ้าใครกินน้ำข้าวในวันถือปีนั้นไปไหน ๆ จะเจอฝนกลางทาง
๓.ถือไม่กวาดบ้าน เพราะจะทำให้เก็บเงินไม่อยู่ตลอดปี
๔.ถือไม่ทวงหนี้ เพราะจะทำให้ขาดแคลน
  งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่
พอกล่าวถึง งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่นี้ ให้สันนิษฐานได้เลยว่า เป็นประเพณีของชาวพุทธไทยที่ได้จัดทำขึ้นมาแต่สมัยปู่ย่าตาทวดแล้ว เป็นประเพณีสืบทอดต่อ ๆ กันมาว่า เมื่อขึ้นบ้านใหม่ทุกคราวไป ให้นิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน บางครั้งปัจจุบันนี้ก็มีการเจิมบ้านด้วยซ้ำไป
แต่รู้ ๆ กันอยู่ว่าชาวจีน ชาวญวน ได้อพยพเข้ามาในแผ่นดินไทยเป็นระยะเวลานานพอสมควร สิ่งไหนที่ชาวไทยพุทธนับถือและเป็นสิ่งที่ดีไม่ขัดต่อศีลธรรมประเพณีอันดีงาน ชาวจีน ญวนก็ได้ยึดตามแบบนั้นให้สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  ซึ่งการขึ้นบ้านใหม่ของชาวจีนนั้น ขอสรุปพอเป็นสังเขปดังนี้
เมื่อถึงกำหนดเวลาแล้ว เจ้าของบ้านจะมานิมนต์พระสงฆ์ญวน พระสงฆ์จีน ไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านพร้อมกับฉันภัตตาหารเพลด้วย พอถึงที่บ้านแล้วพระสงฆ์ก็เริ่มประกอบพิธีทำน้ำพระพุทธมนต์ ด้วยบทสวดทำวัตรเช้า จนถึงบทสวดมาฮา หลังจากนั้นพระสงฆ์จะฉันเพล และเสร็จแล้วจะมีพระสงฆ์ที่เป็นประธานขึ้นบทสวดชยันโต(ญวน) คือ มนต์ต๊ากโตหนิ่มฯ แล้วประธานสงฆ์นั้นก็ได้นำน้ำพระพุทธมนต์ไปรดทุกมุมของบ้าน และเจิมบ้านเพื่อความปัดเป่าทุกโศกโรคภัยต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและลูกหลานต่อไป หลังเสร็จจากนั้น พระสงฆ์จะให้พร (อนุโมทนาบุญ) แก่เจ้าภาพ เป็นอันเสร็จพิธีขึ้นบ้านใหม่ของชาวจีน ซึ่งเป็นพิธีสั้นแต่เต็มไปด้วยความขลัง ส่วนใหญ่จะไม่เกินเที่ยง ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่

3.  พระไตรรัตนะพุทธเจ้า

0 ความคิดเห็น

                                       พระไตรรัตนะพุทธเจ้า (三寳佛)







พระอมิตาภะพุทธะ阿彌陀佛, 彌陀如來अमिताभबुद्ध – Amitabha Buddha


          พระอมิตาภะพุทธเจ้า (ออมีท้อฮุก หรือ อามีท้อฮุดโจ๊ว) นั้นได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องของพระธยานิพุทธเจ้าในแบบวัชรนิกาย โดยในรูปแบบนี้ถือว่าพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง พระธรรมกาย          พระอมิตาภะพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีแสงรัศมีเปล่งประภาสออกมาโดยประมาณมิได้ (無量光佛, 無邊光佛) ทรงมีอีกพระนามคือ พระอมิตายุพุทธเจ้า ที่แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีอายุขัยยาวนานไม่มีประมาณ (無量壽佛)
          แต่สาธุชนนิยมเอ่ยพระนามของพระองค์แบบทับศัพท์ว่า ออมีท้อฮุก (阿彌陀佛) อันหมายถึง พระอมิตาพุทธเจ้านั่นเอง ซึ่งคำว่า “อมิตา” แปลว่า มากมายเกินกว่าจะประมาณค่า เข้าใจว่าเป็นการเรียกขานพระนามของพระพุทธองค์ในความหมายทั้ง 2 คือ
1.             ทรงมีแสงรัศมีเจิดจรัสมากมายเกินกว่าที่จะประมาณได้
          2. ทรงมีอายุขัยยาวนานมากมายเกินกว่าที่จะประมาณได้
วันคล้ายวันพุทธสมภพ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า คือ วันที่ 17 เดือน 11
          พระสูตรของมหายานกล่าวว่า “หากผู้ใดภาวนาพระนามของพระองค์อย่างแน่วแน่ตลอดเวลา 1 วันจนถึง 7 วัน 7 คืนได้ เมื่อเวลาใกล้จะสิ้นใจพระอมิตาภะพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระอริยเจ้า ก็จะเสด็จมารับดวงวิญญาณของผู้นั้นไปเกิดยังดินแดนสุขาวดีอันสุขารมณ์”           อันแดนสุขาวดี (極樂世界) นี้ เป็นชื่อเฉพาะของพุทธเกษตร หรือ ดินแดน เฉพาะของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเรานี่เอง
          ในคัมภีร์มหาสุขาวดีวยุหสูตร กล่าวว่า ครั้นหนึ่งเมื่อหลายอสงไขยกัลป์มาแล้ว มีพระภิกษุรุ)หนึ่งนามว่า “ธรรมการะ” ได้ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์พระโลเกศวร แล้วเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงได้กราบทูลให้พระองค์ทรงแสดงหลักธรรมอันจะนำไปสู่การเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสและบริบูรณ์ด้วยธรรมอันประเสริฐ          พระตถาคตเจ้าทรงใช้เวลาแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุธรรมการอยู่เป็นเวลานานหลายปี หลังจากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พระภิกษุธรรมการะ เริ่มลงมือปฏิบัติธรรมและเพ่งสมาธิไป ณ ดินแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นพุทธเกษตรแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคตถึง 5 กัลป์
          ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทำไม ดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตาภะพุทธเจ้านั้นจึงเป็นดินแดนที่ชาวพุทธนิกายมหายานให้ความสำคัญมาก และใฝ่ฝันอยากไปเกิดที่นั่น เพราะ เป็นที่สถิตของพระอมิตาภะพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตนั่นเอง
          ในพระสูตรกล่าวว่า แดนสุขาวดีเป็นสถานที่สวยงามวิจิตรที่สุดยิ่งกว่าแห่งใดๆ ทั้งทศทิศ ผู้ที่ได้มาอุบัติยังพุทธเกษตรแห่งนี้จะเป็นผู้ปราศจากทุกข์ภัยทั้งปวง จะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด จนดวงวิญญาณของเขาผู้นั้นได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วกลับมาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์อื่นๆ ต่อไป
          การจะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดีนั้นก็ไม่ยาก เพียงแต่ระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่เสมอ โดยการสวดพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอ ว่า “นำ มอ ออ มี ท้อ ฮุก” (南無阿彌陀佛) และเพียรบำเพ็ญกุศลผลกรรมความดีงามทั้งปวง กตัญญูรู้คุณ ฯลฯ
          พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานมุ่งไปเกิดยังพุทธเกษตรของพระองค์ด้วย ความตั้งมั่นอันนี้ จะทำให้ได้ไปอุบัติยังแดนสุขาวดี ได้เสวยความสุขารมณ์ที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นพรหมโลก และแดนสุขาวดีนั้นก็มีความวิจิตรงดงามยิ่งกว่าที่ประทับของเหล่าเทวดาเสียอีก          คุณสมบัติของแดนพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้น ผู้ที่มีจิตมุ่งมั่นไปอุบัติ หากแม้นได้หมั่นเพียรบำเพ็ญจนได้ไปอุบัติสมปรารถนาแล้ว ก็จะเป็นผู้ที่ไม่ต้องหวนกลับมาสู่ภพภูมิเบื้องต่ำอีก          ซึ่งต่างกับการไปเกิดบนสวรรค์ชั้นกามภูมิ หรือ พรหมภูมิชั้นต่างๆ ที่หากสิ้นบุญเมื่อใดก็จะต้องหวนกลับมาสู่ภูมิเบื้องต่ำ เช่น มาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง ตามแรงกรรมเฉพาะตน
          พระปฏิมา หรือ ภาพวาดของพระองค์จะประดิษฐานอยู่เบื้องขวาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะทรงมีปัทมบัลลังก์ (ที่ใส่ดอกบัว) อยู่บนพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ บางแห่งจะทรงแบพระหัตถ์ขวาออกมาเบื้องหน้าแสดงกิริยารับดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ที่ประกอบบุญกุศล พร้อมกับระลึกถึงพระองค์เพื่อมาอุบัติ ณ ยังแดนสุขาวดี  





พระศรีศากยมุนีพุทธะ หรือ สิทธัตถโคตมะพุทธเจ้า
本師釋迦牟尼佛 , 释迦牟尼
शाक्यमुनिबुद्ध – Sakysmuni Buddha, सिद्धार्थ गौतमबुद्ध - Siddhattha Gotama Buddha


         พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า หรือ พระโคตมพุทธเจ้า (เซ็กเกียหม่อนี้ฮุก หรือ เสกเกียเหมานีฮุก หรือ สิกแกเหม่านี้ฮุด โจ๊ว)  โดยในรูปแบบนี้ถือว่าพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง พระนิรมาณกาย
          พระศากยมุนีพุทธเจ้า ของทางฝ่ายมหายานออกเสียงพระนามทับศัพท์ว่า เสกเกีย หรือ สิกแก (釋迦) คำๆ นี้นั้นมากจากคำว่า “ศากยะ” และ เหมานี (牟尼) ก็มาจากคำว่า “มุนี” นั่นเอง เมื่อรวมกันจึงหมายถึง พระศรีศากยมุนี ซึ่งก็คือ พระมหาสมณโคดมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือ เจ้าชายสิทธัตถะ 
          ที่ประสูติในสวนลุมพินีวัน ประเทศอินเดีย (ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของประเทศเนปาล) ตรัสรู้ใต้ร่มโพธิพฤกษ์ ริมแม่น้ำเนรัญชรา (พุทธคยา) และเสด็จดับขันธ์สู่ห้วงมหาปรินิพพานใต้ควงไม้สาละ ที่เมืองกุสินารา นั่นเอง วันคล้ายวันพุทธสมภพ ของพระศรีศากยมุนีพุทธเจ้า  คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 (ไทย)  หรือชาวพุทธศาสนาในประเทศไทย เรียกว่า "วันวิสาขบูชา"
          ทรงเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันกับพระพุทธเจ้าของทางฝ่ายเถรวาทเรา  พระองค์นั้นทรงประกาศพระศาสนาเพื่อยังประโยชน์แก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งปวง
          ซึ่งพอจะสรุปคำสอนได้ว่า “การงดการกระทำบาปทั้งปวง กระทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ธรรม 3 อย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
          พระพุทธองค์ทรงยังประโยชน์และตรัสแสดงพระธรรมเทศนาแบ่งเป็น 3 หมวด หรือพระไตรปิฏกอันมี  
1.พระวินัยปิฏก  
2.พระอภิธรรมปิฏก
3.พระสุตตันตปิฏก (พระสูตร)
          แบ่งย่อยเป็นข้อธรรม 84,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นอุบายธรรมที่ใช้ขัดเกลาสรรพสัตว์ที่เหมาะสมแต่ละบุคคล
          พระศากยมุนีพุทธเจ้า ตามแบบมหายานโดยมากจะทรงถือดวงแก้วมณีที่พระหัตถ์ทั้งสอง ซึ่งจะวาดเป็นสีแดง บางที่ก็จะทรงอุ้มบาตรอันแสดงถึงการเป็นพระนิรมาณกาย ที่ยังต้องกินต้องอยู่เหมือนคนธรรมดา
          บางที่จะถือดวงแก้วเพียงพระหัตถ์เดียว ส่วนพระหัตถ์ขวาจะทรงท่ารัตนตรัยมุทรา หรือ ท่าประทานเทศนา หรือ ประทานพร




พระไภษัชยคุรุพุทธะ
หรือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต
藥師琉璃光如來, 藥師佛, 藥師佛, 薬師, 药师佛
भैषज्यगुरुबुद्ध – Bhaisajyaguru Buddha


          พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต หรือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า (เอี๊ยะซือฮุก หรือ ยกเหล่าซือฮุกโจ๊ว) เป็นพระพุทธเจ้าที่พบเฉพาะในนิกายมหายานเท่านั้น
วันคล้ายวันพุทธสมภพ ของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาพุทธเจ้า คือ วันที่ 30 เดือน 9 จีน (แต่หากปีใดมีเพียง 29 วันก็ให้ถือเอาวันที่ 29 แทน)
          พระนามของพระองค์ หมายถึง พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค ผู้มีรัศมีงดงามสีน้ำเงินดังไพฑูรย์ พระนามอื่นๆ ของท่านคือ พระไภษัชยคุรุตถาคต พระมหาแพทย์ราชาพุทธเจ้า พระมหาไภษัชยราชพุทธเจ้า ทรงเป็นที่นิยมนับถือในหมู่ชาวจีนและชาวทิเบต
          พระไภษัชยคุรุนั้นมีด้วยกัน 7 พระองค์ เป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 7 ในที่นี้จะหมายถึง พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต เพียงพระองค์เดียว ไม่รวมอีก 6 พระองค์ที่เหลือ          กลุ่มพระไภษัชยคุรุนั้นจะมีด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นนิรมาณกายของพระพุทธเจ้าแห่งการรักษาทั้ง 7 พระองค์ กับ กลุ่มที่เป็นนิรมาณกายของพระพุทธเจ้าแห่งนพเคราะห์ โดยกลุ่มนี้จะมีพระไภษัชยคุรุ 7 พระองค์ บวกกับพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็นพระ 9 ดาวเคราะห์

          ในความเชื่อของชาวจีน รูปของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต จะอยู่ในท่านั่งสมาธิ มีรัตนเจดีย์วางบนพระหัตถ์ ส่วนในความเชื่อของชาวทิเบต พระองค์มีกายสีน้ำเงินเข้ม นั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาถือยาสมุนไพร (นิยมเป็นเห็นหลินจือ) พระหัตถ์ซ้ายถือบาตรวางบนพระเพลา ถือกันว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถรักษาโรคทางกาย และโรคทางกรรม ของสัตว์โลก          พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตนั้นเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธมหายาน แต่ไม่มีนิกายเป็นของตนเองอย่างพระอมิตาภะพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ในพุทธเกษตรที่มีชื่อว่าศุทธิไวฑูรย์ ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายกับแดนสุขาวดีของพระอมิตาภะพุทธเจ้า           นอกจากนี้ในคัมภีร์พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานสูตร กล่าวว่าทรงเป็นหนึ่งในพระไภษัชยคุรุทั้ง 7 มีพระโพธิสัตว์เป็นสาวก 2 องค์ คือ พระสูรยประภาโพธิสัตว์ และ พระจันทรประภาโพธิสัตว์           พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต ทางจีนจะแปลความหมายของพระองค์ว่า เอียะซือหยูไล (藥師如來) หากจะแปลทับศัพท์ก็คือ “ปีซาแซลิวลูเผกลิวลีปอลาพอ - ออลาแซแย” (鞞殺社窶嚕薜琉璃鉢喇婆喝囉闍也) เพราะถ้าหากจะแปลทับศัพท์อย่างนี้แล้ว ก็จะไม่อาจทราบได้เลยว่าพระนามนี้ คือ พระพุทธเจ้าพระองค์ใด          พระนามของพระองค์ มีความหมายว่า ไภษัชย (藥) อันหมายถึง ยา, โอสถรักษาโรค          คุรุ (師) หมายถึง ครูอาจารย์, ผู้เชี่ยวชาญ, อาจารย์ทิพย์       ไวฑูรยะ (琉璃) คือ แก้วอัญมณีชนิดหนึ่ง มีสีน้ำเงินใส ไทยเรียกว่า ไพฑูรย์
          ประภา (光) คือ แสงรัศมีที่ส่องสว่าง           ตถาคต (如來) เป็นคำเรียก หมายถึง พระผู้เสด็จมาแล้วด้วยดีอย่างนั้น ซึ่งหมายถึงการเรียกขานพระพุทธเจ้า คล้ายๆ กับการเรียกว่าพระพุทธเจ้า (佛) พระโลกนาถ (世尊) เป็นต้น          สรุปความหมายพระนามโดยรวมคือ “พระตถาคตเจ้าผู้เป็นครูที่เชี่ยวชาญทางโอสถรักษาโรค ผู้มีแสงรัศมีเจิดจรัดเป็นประกายสีน้ำเงินบริสุทธิ์ประดุจแก้วไพฑูรย์”           พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตทรงมีพุทธเกษตรของพระองค์เองอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของโลกเราแห่งนี้ โดยพุทธเกษตรแห่งนี้มีชื่อว่า “ศุทธิไวฑูรย์” (淨琉璃世界) อันจะอยู่ตรงกันข้ามกับพุทธเกษตรแดนสุขาวดีที่อยู่ทางทิศตะวันตก
          ในพระสูตรบรรยายว่าดินแดนของพระองค์นั้นมีความสวยงามอลังการและวิเศษ ไม่แพ้กับแดนสุขาวดี มีความเพียบพร้อมทุกประการมิแตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ไปอุบัติในพุทธเกษตรแห่งนี้ก็จะปราศจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง ทั้งจะเป็นผู้มิเสื่อมถอยจากกุศลและภูมิธรรม จะได้บำเพ็ญตนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อกลับมาช่วยสรรพสัตว์ จนสำเร็จพระพุทธมรรคได้ ณ ศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรแห่งนั้น
          การจะไปเกิดก็โดยการตั้งปณิธานอธิษฐานจิตต่อพระองค์ และประกอบกุศลกรรมบำเพ็ญธรรมดีงามเพื่อมุ่งไปเกิด พร้อมกับการภาวนาพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอว่า ขอนอบน้อมแด่พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต เป็นจีนว่า      นำ มอ หยก ซือ ลิว ลี กวง ยู ไล (南無藥師琉璃光如來) หรือ ขอนอบน้อมแด่พระนิรันตรายจิรายุวัฒนาไภษัชยคุรุพุทธเจ้า เป็นจีนว่า นำ มอ เซียว ไจ เอียง ซิวหยก ซือ ฟู (南無消災延壽藥師佛)

          ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่หมั่นสวดภาวนา มีสุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน ปลอดภัยจากโรคร้ายที่คอยเบียดเบียนทั้งโรคกรรมโรคปีศาจทั้งปวง ทำให้ได้สมหวังดังปรารถนาทุกประการ
          พระปฏิมาของพระองค์จะประดิษฐานทางเบื้องซ้ายของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงถือรัตนเจดีย์ หรือบาตรบรรจุทิพยโอสถ หรือ บ้างก็ถือแจกันในพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ          บางแห่งจะให้แบพระหัตถ์ขวาออกในกิริยารับดวงวิญญาณไปเกิด ธิเบตจะทรงถือต้นยาวิเศษชื่อ “อคทะ” ส่วนทางจีนนั้นจะทรงถือเห็ดหลินจือ ซึ่งชาวจีนโบราณเชื่อว่า เห็ดหลินจือเป็นของหายากที่สุดและเป็นยาอายุวัฒนะของเซียน          หากเป็นภาพวาดของธิเบตจะวาดพระวรกายของพระองค์เป็นสีน้ำเงินเข้ม และพระกริ่งที่นิยมกันแพร่หลายในประเทศไทยก็ได้แบบอย่างมาจากพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง

4. สมณศักดิ์พระญวณ

0 ความคิดเห็น

สมณศักดิ์พระญวณ



ทำเนียบสมณศักดิ์บรรพชิตฝ่ายอนัมนิกาย
พ.ศ. ๒๕๕๓
๑.           พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร (พธ.ด.)                (ชื่อ  เจริญ  ฉายา กิ๊นเจี๊ยว )
                เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย                                                     เจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร (โผเพื๊อกตื่อ)
                ๙๗ ถ.ราชวงศ์  แขวงสัมพันธวงศ์  เขตสัมพันธวงศ์  กรุงเทพฯ  ๑๐๑๐๐
๒.           พระคณานัมธรรมเมธาจารย์  (พธ.ม.)                           (ชื่อ ถนอม  ฉายา เถี่ยนถึก)
                รองเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย                                              เจ้าอาวาสวัดโลกานุเคราะห์ (ตื๊อเต๊ตื่อ)
                ๑๒๖ ถ.ราชวงศ์  แขวงจักรวรรดิ์  เขตสัมพันธวงศ์  กรุงเทพฯ  ๑๐๑๐๐
                โทร. – ๐๒-๒๒๖-๒๗๑๙, ๐๒-๒๒๕-๑๕๑๖
๓.           พระคณานัมธรรมวิธานาจารย์  (พธ.ม.)                        (ชื่อ สมาน  ฉายา ว่างเยียน)
                ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายขวา                                                เจ้าอาวาสวัดอนัมนิกายาราม (กว๋างเพื๊อกตื่อ)
                ๒๗ ถ.ประชาราษฎร์ สาย ๑  แขวงบางซื่อ  เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ  ๑๐๘๐๐
                โทร. -  ๐๒-๕๘๖-๘๐๐๑, ๐๒-๕๘๕-๐๔๑๖, ๐๒-๙๑๒-๗๔๗๐, ๐๘๖-๐๑๑-๕๐๓๓
๔.           พระคณานัมธรรมวุฒาจารย์  (พธ.ด.)                            (ชื่อ  ณรงค์  ฉายา  ติ่นเรียน)
                ผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายซ้าย                                                เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร (เกี๋ยงเพื๊อกตื่อ)
                ๔๑๖  ถ.ลูกหลวง แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐
                โทร. -  ๐๒-๒๘๑-๕๒๓๕, ๐๒-๒๘๑-๐๐๘๒
๕.           พระสมณานัมธีราจารย์                                                      (ชื่อ ถาวร  ฉายา  มินเอิง)
                ปลัดขวา                                                                 เจ้าอาวาสวัดอุภัยราชบำรุง (คั้นเยิงตื่อ)
                ๘๖๔ ถ.เจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ๑๐๑๐๐
                โทร. -  ๐๒-๒๓๓-๓๑๐๒, ๐๒-๒๓๔-๔๔๓๒
๖.            พระบริหารอนัมพรต                                                         (ชื่อ บุญชู  ฉายา ติ่นทิน)
                ปลัดซ้าย                                                                                เจ้าอาวาสวัดชัยภูมิการาม (ตี๊หง่านตื่อ)
                ๓๐ ถ.เยาวพานิช แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ๑๐๑๐๐
                โทร. ๐๒-๒๒๔-๒๒๑๘ โทรสาร. ๐๒-๒๒๕-๕๒๘๖, ๐๘๑-๙๒๐-๗๙๓๗
๗.           องสรภาณมธุรส                                                                  (ชื่อ เดชาธร  ฉายา เกวิ๊กซัน)
                รองปลัดขวา                                                                         เจ้าอาวาสวัดถาวรวราราม (คั้นถ่อตื่อ)
                ๓ ถ.เจ้าขุนเณร ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑๐๐๐
                โทร. ๐๓๔-๕๑๑-๕๒๑, ๐๓๔-๕๑๓-๒๒๖  โทรสาร. ๐๓๔-๕๑๑-๖๗๙
๘.           องสุตบทบวร                                                                        (ชื่อ ชาติชาย  ฉายา  เหยี่ยวคัง)
                รองปลัดซ้าย                                                                         เจ้าอาวาสวัดมงคลสมาคม  (โห่ยคั้นตื่อ)
                ๔๘ ถ.แปลงนาม แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ๑๐๑๐๐
                โทร. ๐๒-๒๒๒-๐๙๐๙, ๐๒-๖๒๓-๐๒๐๖
๙.            องสรพจนสุนทร                                                                 (ชื่อ บุญส่ง  ฉายา  เหยี่ยวหาย)
                ผู้ช่วยปลัดขวา                                                                      รองเจ้าอาวาสวัดกุศลสมาคร (โผเพื๊อกตื่อ)
                ๙๗ ถ.ราชวงศ์  แขวงสัมพันธวงศ์  เขตสัมพันธวงศ์  กรุงเทพฯ  ๑๐๑๐๐
๑๐.         องพจนกรโกศล   (พธ.ม. (ศม.) )                                    (ชื่อ ไพรัตน์  ฉายา  เหว่ตี้)
                ผู้ช่วยปลัดซ้าย                                                                      เจ้าอาวาสวัดเขตร์นาบุญญาราม (เพื๊อกเดี้ยนตื่อ)
                ๒๘ ถ.ขวาง ตำบลวัดใหม่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดจันทบุรี ๒๒๐๐๐
                โทร. ๐๓๙-๓๑๑-๓๒๙, ๐๘๑-๓๔๔-๔๐๓๕, ๐๘๖-๙๙๔-๗๖๕๘
๑๑.         องอนนตสรภัญ   (พธ.ม.)                                                 (ชื่อ  ปรีชา  ฉายา  เถี่ยนกือ)
                เจ้าอาวาสวัดอนัมนิกายเฉลิมพระชนมพรรษากาล (ง็อกถั่นตื่อ)
                ๒๐๘ หมู่ ๑ ตำบลดอนมะนาว อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ๗๒๑๑๐
                โทร. ๐๘๑-๘๘๐-๑๕๗๓, ๐๓๕-๕๖๖-๑๓๖
 ๑๒.        องอนันตสรนาท (พธ.บ.)                                                                (ชื่อ ประดิษฐิ์  ฉายา  อี๊สี)
                เจ้าอาวาสวัดอุภัยภาติการาม ( ตามบ๋าวกองตื่อ (ซำปอกง) )
                ๔๗๕/๕  ถ.ศุภกิจ ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา ๒๔๐๐๐
                โทร.๐๓๘-๕๑๑-๑๙๘, ๐๘๑-๙๘๗-๘๖๒๖
๑๓.        องสรภาณอนัมพจน์                                                           (ชื่อ พิสิทธิ์  ฉายา  เถี่ยนบ๋าว)
                เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามบางม่วง  (ฮึงถั่นตื่อ)
                ๑๐๘ บ้านบางม่วง ซอยโรงเจ ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ๗๓๑๑๐
                โทร. ๐๘๑-๔๓๙-๕๙๐๐
๑๔.        องปลัดธรรมปัญญาธิวัตร                                                  (ชื่อ สมพุฒิ  ฉายา  มินหลับ)
                เจ้าอาวาสวัดเจริญบุญไพศาล  (ฮึงเพื๊อกตื่อ (เฮงฮกยี่) )
                ๙ หมู่ที่ ๙ บ้านหนองแฟบ หมู่ ๓ ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑๐๐๐
                โทร. ๐๘๑-๙๔๙-๘๗๑๑
๑๕.        องธรรมธร                                                                            (ชื่อ  อเนก  ฉายา  เถี่ยนหลาก)
                เจ้าอาวาสวัดศรัทธายิ้มพานิชวราราม (โผวเจี๊ยวตื่อ)
                ๖๓/๖๖ ถ. เทศบาล ๘ ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรสาคร ๗๔๐๐๐
                โทร. ๐๘๖-๕๔๔-๙๘๕๓, ๐๘๕-๓๘๓-๑๔๔๑
๑๖.         องปลัด                                                                                   (ชื่อ  แดง  ฉายา  อี๊ตู)
                เจ้าอาวาสวัดมหายานกาญจนมาสราษฎร์บำรุง
                ๙ ถ.มหาภาส ตำบลสะเตง อำเภอเมืองฯ จังหวัดยะลา ๙๕๐๐๐
                โทร. ๐๗๓-๒๑๒-๕๙๓
๑๗.        องปลัด                                                                                   (ชื่อ  ปานชัย  ฉายา  เถี่ยนหงือ)
                เจ้าอาวาสวัดถาวรวรารามหาดใหญ่ (คั้นถ่อตื่อ)
                ๔๕ ถ.แสงจันทร์ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  ๙๐๑๑๐
                โทร. ๐๗๔- ๒๓๕๓๐๗
๑๘         องสมุห์                                                 (ชื่อ  วิเชียร  ฉายา เถี่ยนอี๊)
          เจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาน้อย (ล็องเซิงตื่อ)
                ๑๘/๑ หมู ๕ ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง จังหวดกาญจนบุรี ๗๑๑๑๐
                โทร. ๐๓๔-๖๕๕-๒๓๓-๔, ๐๓๔-๖๕๕-๔๒๑
                โทรสาร. ๐๓๔-๖๕๕-๔๒๒, ๐๘๑-๙๑๗-๕๖๙๕, ๐๘๑-๓๑๓-๖๗๘๖
๑๙.         พระคณานัมธรรมเมธาจารย์                                             (ชื่อ ถนอม  ฉายา เถี่ยนถึก)
                รักษาการเจ้าอาวาสวัดสุนทรประดิษฐ์  (คั้นอางตื่อ)
                ๔๔/๓ ถ. อดุลย์เดช ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุดรธานี ๔๑๐๐๐
                โทร. ๐๔๒-๒๒๑-๑๒๔

5. ติดต่อเรา

0 ความคิดเห็น

ติดต่อเรา
ที่อยู่ : วัดอุภัยภาติการาม (ชำปอกง)
          ตำบล หน้าเมือง จังหวัด ฉะเชิงเทรา 24000
โทร : 038 816904
Facebook : วัดอุภัยภาติการาม
Facebook เพจ : วัดอุภัยภาติการาม

 

Copyright 2008 All Rights Reserved Revolution Two Church theme by Brian Gardner Converted into Blogger Template by Bloganol dot com